วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Google Street View กับ Google Map แตกต่างกันยังไง


1.Google Earth ต่างจาก Google Street View ยังไง คืออะไร

โดย มารพิณ
 www.facebook.com/marnpinbook


กูเกิ้ล  www.google.co.th มีบริการข้อมูลที่เกี่ยวกับภูมิศาตร์และแผนที่ รวมทั้งภาพถ่ายทางอากาศอยู่  ที่รวมศูนย์อยู่ที่ "Google แผนที่"     หลายแบบ  เช่น

Google Map  http://maps.google.co.th/ 
Google Earth http://www.google.com/earth/index.html
หรือเวอร์ชั่นภาษาไทย http://www.google.com/intl/th/earth/index.html 

และที่เปิดบริการล่าสุดคือ  Google Street View  ที่เข้าดูได้ผ่านทาง Google Map  http://maps.google.co.th/   เช่นกัน


คำถามที่อยู่ในใจยูสเซอร์ก็คือ   Google Earth ต่างจาก Google Map   และต่างจาก Google Street View ยังไง  คืออะไร


อธิบายสั้นๆ  แบบรวบรัดคือ  ภาพแผนที่ (map) จะเป็นแบบรูปด้านบนนี้   ที่ตัวอย่างแม็พที่ยกมานี้เป็นแผนที่บริเวณถนนนิมมานเหมินท์ ที่เชียงใหม่  บริเวณซอย 7 ซอย 9 และ ซอย 6 

สังเกตุมุมขวาบนของหน้าจอกูเกิ้ลแม็พ จะมี สี่เหลี่ยมเล็กๆ  มีคำว่า "ดาวเทียม"  อยู่  ถ้ากดเมาส์ไปที่ตรงนั้น เราจะได้หน้าตาแบบด้านล่างนี้ 


(บน)ภาพนี้คือจุดเดิมที่ถนนนิมมานเหมินท์ ที่เชียงใหม่  บริเวณซอย 7 ซอย 9 และ ซอย 6  แหล่งท่องเที่ยวร้านอาหาร ร้านกาแฟ และผับดังของเมืองเชียงใหม่  แต่เป็นภาพดาวเทียม ที่เห็นถนน หลังคาบ้านและหลังคาตึก นี่คือการซ้อนชั้น(layer) ภาพดาวเทียมลงไปแผนที่เดิม 

ในขั้นตอนนี้ มุมขวาบนจะมีสองช่องเหลี่ยมคือ  เขียนว่า Earth  ที่ภาษาอังกฤษแปลว่า โลก  และอีกช่องคือ แผนที่ ถ้าเรากดเมาส์ไปที่แผนที่มุมขวา  หน้าจอเราจะกลับไปเป็นหน้าแรกที่เราเห็น แรกสุดข้างบน  แต่ถ้ากดเมาส์ไปที่คำวว่า   Earth   จะเป็นการดึงเอาข้อมูลกูเกิ้ลเอิร์ธ  ซึ่งเป็นโปรแกรมสามมิติดูดาวเทียมของทาง Google แสดงในหน้าจอ

(บน) การแสดงผลภาพกูเกิ้ลเอิร์ธ  จะเป็นอย่างนี้และมีปุ่มบังคับของกูเกิลเอิร์ธ  ปรากฏขึ้นทางซ้ายมือบน ซึ่งสามารถเปลี่ยนทิศทางและทำฟังก์ชั่นใช้งานอื่นที่ซับซ้อนมากกว่าการดูแผนที่ หรือ map ธรรมดาทั่วไป (ขั้นตอนตรงนี้จะโหลดช้าขึ้น)   แต่ถ้าจะดูแค่ "แผนที่"  หรือ "ภาพดาวเทียม"  ก็กดเมาส์กลับไปได้ทีี่มุมขวาบน 

(บน)  อันที่จริง ทาง Google Earth  ยังมีบริการแยกต่างหาก ที่เล่นกับข้อมูลของโลกใบนี้ และสารสนเทศต่างๆ ที่เกี่ยวกับพิกัดทางภูมิศาสตร์โดยเฉพาะ เป็นโปรแกรม ใช้งานกูเกิลเอิร์ธแยกต่างหาก  ที่ดาวน์โหลดมาติตตั้งในเครื่่องได้ ใช้ได้ทั้งเครื่องพีซี และแมค  อย่างที่เห็นในภาพของบนเป็นรูปโลกทรงกลมหมุนได้ และเราจะเข้าไปดูข้อมูลส่วนไหนของโลกได้ตามใจชอบ

ทีนี้ Google Street View เป็นยังไง สตรีวิว คืออะไร  คงอยากรู้แล้วใช่มั้ย   คำตอบก็คือ  แบบด้านล่างนี้นี่เอง คือเป็นมุมมองระดับท้องถนน (street level) ของสถานที่นั้น

(บน) นี่คือตำแหน่งเดียวกันกับถนนนิมมานเหมินท์ ที่เชียงใหม่  บริเวณซอย 7 ซอย 9 และ ซอย 6   แต่มุมมองแบบอื่นเช่นที่ดูผ่านดาวเทียม หรือแผนที่จะเป็นแค่ภาพมุมสูงอย่างมากก็เห็นหลังคา แต่ตรงนี้เราจะเห็นชัดว่านี่คือ หน้าร้าน "นมมนต์"  สาขานิมมานฯ เชียงใหม่ ที่ดังมาจากร้านนมมนต์ต้นตำรับเดิมที่เสาชิงช้า หมุนไปรอบๆ จะเห็นร้านอื่นที่อยู่รอบข้าง

มาสรุปข้อมูลกันครับ 


กูเกิ้ลแผนที่ =  ดูได้แค่แผนที่ เป็นเส้นบอกถนน มีชื่อตำบล อำเภอ ที่สำคัญตามจังหวัดต่างๆ   สะดวก สบายตาเวลาจะหาซอยอะไรซักอย่าง  หรือสถานที่ซักแห่ง แต่ไม่เห็นภาพจริง

กูเกิ้ลภาพดาวเทียม = ก็เหมือนแผนที่ หรือ map ที่ว่ามาเมื่อกี้นั่นล่ะ แต่ทางกูเกิลเขาเอาภาพดาวเทียมซ้อนทับลงไปให้เห็นภาพจริงของพื้นที่นั้น เราจะได้ข้อมูลหลายอย่างที่เห็นด้วยตาได้สะดวก เช่น แม่น้ำ ลำธาร สะพาน สนามโรงเรียน สีหลังคา ตัวตึก  ทุ่งนา พื้นท่ี่ทางการเกษตร  รันเวย์สนามบินอะไรแบบนี้เป็นต้น

กูเกิ้ลเอิร์ธ = เล่นกับข้อมูลสารสนเทศทางภูมิศาตร์ โดยเฉพาะ สามารถดึงข้อมูลมาดูผ่านกูเกิ้ลแม็พได้ แต่ก็นะถ้าอย่างให้มันส์ เอาเป็นว่าโหลดโปรแกรมมาใช้ดีกว่า



กูเกิ้ลสตรีทวิว =  เสริมมุมมองระดับถนนด้วยภาพพานอรามา 360  องศาที่หมุนไปรอบตัว ได้ เดินหน้า ถอยหลัง ไปซ้ายเลี้ยวขวาได้เหมือนอยู่ในสถานที่จริง  เป็นจุดต่างจาก "แผนที่" และ "ภาพดาวเทียม"  ที่เป็นแค่ภาพกว้าง มุมรวมจากด้านบน

เอามาจากเวป  http://feelthai.blogspot.com/2012/03/google-earth-google-street-view.html



2.การนำไปใช้งาน ของGoogle Street View กับ Google Map

1.สามารถดูแผนที่ที่เราสนใจได้ 2.เพื่อความสะดวกก่อนการเดินทางไปที่ไหน3.การดูสภาพพื้นที่ที่เราจะไป4.สามารถดูการจราจรได้5.ดูภาพถนนหนทางในภาพจริงได้6.แก้ไขรายชื่อให้บ่งบอกถึงธุรกิจของคุณ7.ใช้ได้จริงและจัดการได้ง่าย8.ทางเลือกระดับพรีเมียม ทั้งหมดนี้ ฟรี9.การลงชื่อสมัครใช้ Google สถานที่เป็นเรื่องง่าย10.ดูภาพได้เสมือนจริง

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จีพีเอส

1.GPS คือ


GPS คือ ระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลกผ่านดาวเทียม  Globle Positioning System  โดยพิกัดบนพื้นโลกที่ได้ จะมาจากการคำนวณสัญญาณนาฬิกาที่ส่งจากดาวเทียม มาที่เครื่องรับสัญญาณGPS ส่วนดาวเทียมที่ใช้สำหรับระบบ GPS ที่สามารถใช้ระบุตำแหน่งได้นั้น จะถูกออกแบบมาโดยเฉพาะให้โครจรอบโลก เพื่อส่งข้อมูลที่จะนำไปใช้คำนวณพิกัดออกมาตลอดเวลา การสะท้อนกลับของคลื่นไมโครเวฟ ระหว่างดาวเทียมและพื้นผิวโลก แน่นอนเมื่อเรารู้ตำแหน่งบนพื้นโลก เราก็สามารถระบุตำแหน่งของดาวเทียมบนอวกาศได้ ดังนั้นในทางกลับกันดาวเทียมก็สามารถระบุตำแหน่งต่างๆ บนพื้นโลกได้เช่นกัน เมื่อมันโคจรผ่านตำแหน่งนั้น
ระบบGPSจะทำงานได้นั้น ต้องประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆคือ

1. ส่วนอวกาศ หรือดาวเทียม GPS : จะมีดาวเทียมที่ใช้ดังนี้

- NAVSTAR : จากของประเทศอเมริกา มีดาวเทียมทั้งหมด 28 ดวง จะใช้จริงแค่ 24 ดวง ไว้สำรอง 4 ดวง รัศมีวงโคจร12,600 ไมล์ โคจรอบโลกที่ความเร็ว 12ชั่วโมงต่อ 1 รอบ
- Galileo : ถูกพัฒนาโดย ESA หรือ European Satellite Agency ร่วมกับประเทศจีน อิสราเอล อินเดีย โมร็อกโก ซาอุดิอาระเบีย เกาหลีใต้ และยูเครน รวมจำนวน 27 ดวง
- GLONASS : (GLObal NAvigation Satellite System) ที่พัฒนาโดยรัสเซีย
- Beidou : เป็นดาวเทียม GPS ที่กำลังพัฒนาโดยประเทศจีน
 
สถานีควบคุมดาวเทียมในสหรัฐ2. ส่วนภาคพื้นดิน :ทำหน้าที่คอยดูแลและควบคุมการทำงานของดาวเทียม  รวมถึงวงโคจรของดาวเทียม และให้ค่าสัญญาณนาฬิกาที่ถูกต้อง กับดาวเทียม GPS

3. ส่วนผู้ใช้งานหรือครื่องรับสัญญาณ GPS : ผู้ใช้งานสามารถรับสัญญาณ GPS ได้จากอุปกรณ์หลายๆอย่าง เช่น โทรศัพท์มือถือที่รับสัญญาณ GPS ได้, GPS Receiver (ต่อกับ computer, มือถือ) หรือ เครื่อง PNA (Personal Navigation Assistant) หรือเรียกง่ายๆว่าGPS NavigatorGPS ติดรถ หรือ Car GPS

จีพีเอสที่เราใช้อยู่หรือที่จะเลือกซื้อจะเลือกอย่างไรดี
              จีพีเอสเป็นเครื่องมือที่อาศัย 2 ส่วนประกอบกัน คือฮาร์ดแวร์ และ ซอฟแวร์ การเลือกซื้อก็ไม่ยากมาก คือถ้าจำเป็นใช้ฟังก์ชั่นแค่ไหนก็ซื้อมาแค่นั้นไม่ต้องซื้อเผื่อมากเพราะยิ่งฟังก์ชั่นมากก็ยิ่งราคาแพงด้วย บางคนเอารุ่นท็อปของยี่ห้อนั้น ๆ  แต่ใช้แค่ดูแผนที่หรือให้แค่นำทาง ส่วนทีวี หรือ mp3 และอื่น ๆ ที่ติดมาให้ไม่เคยได้ใช้แต่ผู้ขายบอกว่ามีทุกอย่างก็เอาซะหน่อย เปลืองเปล่า ๆ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย   ถ้าจะมาดูในรายละเอียดแบบด้านลึกเรามาพิจารณาต่อไปคือในด้าน ฮาร์ดแวร์  เริ่มจาก CPU เป็นอันดับแรกๆที่ผู้ใช้ควรดูซึ่งหลักง่ายๆคือ ยิ่ง CPU เยอะก็ยิ่งดี เหมือนคอมพิวเตอร์ที่ CPU สูงกว่าก็สามารถประมวลผลและได้เร็วกว่า  ต่อจากนั้นดูที่ Chipset สำหรับปัจจุบัน GPS มีการใช้ Chipset รับสัญญาณจากค่าย SiRF และ MTK เป็นหลัก อันนี้อยู่ที่ความชอบของผู้ใช้เพราะว่าทั้ง 2 ค่ายมีความสามารถใกล้เคียงกัน ต่อมาให้ดูที่ Flash หรือเรียกกันว่า Memory ก็เหมือนกับกล้องถ่ายรูปหรือโทรศัพท์นั้นเองคือถ้าต้องการเก็บขอมูลมากๆ เช่น ซอฟแวร์แผนที่ ภาพ วิดีโอ หรือ เพลง ก็ต้องเลือกความจุที่มากหน่อยโดยเริ่มจากความจุ 128Mb จนถึง 4Gb กันเลยทีเดียว อนาคตคงจะมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนเครื่องโทรศัพท์ และเครื่องเล่น MP4  และที่สำคัญอีกตัวก็คือ Ram ยิ่งมีค่าตัวเลขมากก็ยิ่งดี สมัยนี้มีการใส่ Ram ในตัวเครื่องตั้งแต่ 64 Mb  ขึ้นไปแรมที่เยอะกว่าก็จะมีข้อได้เปรียบเช่นในการคำนวณเส้นทางที่ไกล Ram ยังมีอยู่ 2 ลักษณะเหมือนคอมพิวเตอร์คือ SD และ DDR ซึ่ง Ram ทึ่ควรเลือกใช้ควรเป็นแบบ DDR สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วกว่า SD ผู้ซื้อต้องระวังผู้ขายบางเจ้าที่ไม่รู้จริงหรืออ้างว่าใช้ Ram ที่มากแต่ความจริงเป็นRamแบบ SD Ram ซึ่งความเร็วในการทำงานจะเป็นเพียงครึ่งเดียวของRamแบบ DDR เช่น Ram128SD จะช้ากว่า Ram64DDR  ในส่วนของซอฟแวร์ ก็คือโปรแกรมที่แสดงการใช้งานหน้าจอและเป็นระบบของเครื่อง ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของเราอีกเหมือนเดิม ชอบแบบไหนเอาแบบนั้น แต่ขอสำคัญคือเลือกที่สามารถอัพเกรดซอฟแวร์ให้ทันสมัยได้เสมอ ข้อควรระวังเครื่องที่เป็นของมาจากประเทศจีนเดี๋ยวนี้มีราคาถูก แต่บางทีไม่สามารถอัพเกรดซอฟแวร์ได้หรืออัพได้แต่หาโปรแกรมอัพไม่ได้  พอบางทีอัพแล้วใช้ไม่ได้ บอกได้คำเดียวเลยว่าเสียตังค์ฟรีทันที  แต่บางเครื่องถ้าใช้ได้ทุกฟังก์ชันก็ถือว่าได้ของดีราคาถูกครับ 

2. GPS ประกอบด้วย

ระบบที่ทำให้ GPS ทำงานได้ สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือ ส่วนอวกาศ ส่วนควบคุม และส่วนผู้ใช้งาน
1. ส่วนอวกาศ (Space Segment)
ส่วนอวกาศจะประกอบไปด้วยดาวเทียมจำนวน 24 ดวงซึ่งบินโคจรรอบโลก ดาวเทียมนี้ผลิตโดยบริษัท Rockwell International และถูกปล่อยสูอวกาศจากแหลมฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ขนาดของดาวเทียมจะประมาณเท่ากับขนาดรถยนต์ และมีน้ำหนักประมาณ 19,000 ปอนด์ วงโคจรของดาวเทียมจะอยู่สูงจากพื้นโลกประมาณ 12,660 ไมล์ ทำมุมกับพื้นโลก 55 องศา มีวงโคจรทั้งหมด 6 เส้นทาง ในแต่ละเส้นทางจะมีดาวเทียมโคจรอยู่ 4 ดวง โดยดาวเทียมหนึ่งดวงจะสามารถโคจรรอบโลกได้ 1 รอบใน 12 ชั่วโมง (ประมาณ 1.8 ไมล์ต่อวินาที) ในระหว่างการโคจรรอบโลกนั้น ดาวเทียมจะมีการส่งสัญญาณสู่พื้นโลกผ่านเสาส่งสัญญาณที่ติดตั้งจากดาวเทียมมายังโลก และมีการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในการขับเคลื่อน
2. ส่วนควบคุม (Control Segment)
ส่วนควบคุมจะประกอบไปด้วยสถานีซี่งคอยตรวจสอบดูแลการทำงานของดาวเทียมโดยใช้เรดาร์ส่งสัญญาณไปยังดาวเทียม เพื่อให้ดาวเทียมอยู่ในวงโคจร ในความสูง ความเร็ว และตำแหน่งที่ถูกต้อง และในทางกลับกัน สถานทีเหล่านี้ยังทำหน้าที่รับสัญญาณจากดาวเทียมและส่งข้อมูลไปยังเครื่องลูกข่าย GPS เพื่อบอกตำแหน่งและข้อมูลของเครื่องลูกข่ายนั้น ๆ อย่างถูกต้องด้วย
สถานีที่ทำการควบคุมดาวเทียมจะมีอยู่ 5 แห่ง คือ สถานีหลักที่ Coloradoม สถานีบนเกาะ Ascension, สถานี Diego Garcia (มหาสมุทรอินเดีย), Kwajalein และ Hawaii
3. ส่วนผู้ใช้งาน (User Segment)
ส่วนผู้ใช้งานประกอบด้วยเครื่องรับสัญญาณ หรือเครื่อง GPS แบบมือถือที่มีใช้กันอยู่ทั่วไปนั่นเอง โดยในเครื่อง GPS นั้นจะมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์อยู่ในตัวเครื่องเพื่อให้เครื่องทราบว่าดาวเทียมอยู่ในตำแหน่งใด ในเวลานั้น ๆ โดยเครื่อง GPS จะทำการคำนวณ ตรวจสอบ และถอดรหัสสัญญาณที่ได้จากดาวเทียม เพื่อให้ได้ข้อมูลมา ซึ่งข้อมูลที่ได้โดยปรกติก็มักจะถูกประมวลผลโดยโปรแกรมและส่งข้อมูลออกมาทางหน้าจอของเครื่อง GPS นั้น ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ได้ทราบข้อมูล โดยการแสดงผลก็จะต่างกันขึ้นกับโปรแกรมในเครื่อง GPS แต่ละรุ่นและแต่ละยี่ห้อ
จะเห็นได้ว่าเบื้องหลังการใช้งานเครื่อง GPS นั้น มีส่วนประกอบที่สำคัญอื่น ๆ ที่ทำให้เราสามารถใช้งานเครื่อง GPS ได้ ซึ่งในส่วนผู้ใช้งานเองแค่มีเพียง GPS Reciever เครื่องเดียวก็เพียงพอแล้ว โดยในส่วนอื่น ๆ นั้นก็จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคอยดูแล เพื่อให้ระบบนั้นสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. การทำงาน

หลักการทำงาน GPS       หลักการของเครื่อง GPS คือ การคำนวณระยะทางระหว่างดาวเทียมกับอุปกรณ์รับ GPS โดยจะต้องทราบตำแหน่งของดาวเทียมแต่ละดวง ประกอบกับได้ระยะทางจากดาวเทียม 3 ดวง ขึ้นไปแล้ว อุปกรณ์ GPS ก็จะสามารถคำนวน หาจุดตัดกันของผิวทรงกลม ของระยะทางของดาวเทียม GPS แต่ละดวงได้       ดังนั้น ในทางทฤษฏี สิ่งที่อุปกรณ์ GPS จำเป็นต้องทราบในการคำนวนหาตำแหน่งแต่ละครั้ง คือ1. ตำแหน่ง ดาวเทียม GPS ในอวกาศ อย่างน้อย 3 ดวง2. ระยะห่างจาก ดาวเทียม GPS แต่ละดวง
       โดยการจะได้มาซึ่ง ข้อมูลทั้ง 2แบบ ในทางปฏิบัติ คือ       1.การได้มา ซึ่ง ตำแหน่งดาวเทียม GPS ในอวกาศ       การได้มา ซึ่งตำแหน่งดาวเทียม GPS ในอวกาศ จะต้องได้มีข้อมูลประกอบ 2 ตัว คือa.   ข้อมูลวงโคจร       : จะทำให้อุปกรณ์ GPS ทราบว่า เส้นทางการเดินทางของดาวเทียม GPS แต่ละดวงจะอยู่ ณ ตำแหน่งใด เมื่ไรb. เวลาปัจจุบัน : ซึ่งเมื่ออุปกณ์ GPS ทราบ เวลาปัจจุบัน แล้ว ก็จะใช้เวลาปัจจุบัน ไปคำนวนหาตำแหน่ง ของดาวเทียม GPS จากข้อมูลวงโคจรได้       ดังนั้น เมื่ออุปกรณ์รับ GPS ทราบ ข้อมูลวงโคจร ดาวเทียม GPS และเวลาปัจจุบัน อุปกรณ์รับ GPS ก็จะทราบตำแหน่ง ดาวเทียมในอวกาศได้ ซึ่งข้อมูลทั้งหมด จะได้มาจากสัญญาณดาวเทียมที่อุปกรณ์รับ GPS ตัวนั้นรับได้       2. การได้มา ซึ่ง ระยะห่างของอุปกรณ์รับ GPS กับ ดาวเทียม GPS แต่ละดวง       เนื่องจาก การเตินทางของคลื่นสัญญาณ GPS นั้น จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่(vคงที่) คือ ความเร็วแสง (186,000ไมล์ต่อวินาที) ซึ่งเมื่อเป็นดังนั้น ถ้าอุปกรณ์รับ GPS รู้ระยะเวลา(t) ที่สัญญาณใช้ในการเดินทางจาก ดาวเทียม GPS มายังอุปกรณ์รับ GPS ก็จะสามารถคำนวนระยะทางระหว่าง ดาวเทียม GPS กับ อุปกรณ์รับ GPS ได้ จากสูตร       ความเร็ว X เวลา = ระยะทาง       ซึ่งเมื่อเราทราบระยะห่างของดาวเทียมกับอุปกรณ์ GPS มากเท่าไร เราก็จะหาจุดของผิวทรงกลม ทำให้อุปกรณ์ GPS สามารถทราบว่าตัวเองอยู่นะจุดใดบนพื้นโลกได้ เช่น       ดาวเทียม GPS 1 : ลอยอยู่ ณ จุดหนึ่งในอวกาศ ซึ่งเรารู้ตำแหน่ง จากข้อมูลวงโคจร GPS และ เวลาปัจจุบัน ระยะเวลาในการส่งสัญญาณจากดาวเทียมดวง GPS 1 ถึงเครื่องรับ GPS คือ 0.10 วินาที ระยะทางระหว่างดาวเทียมกับ GPS 1 คือ 18,600 ไมล์ (186,000 ไมล์ต่อวินาที X 0.10 วินาที = 18,600 ไมล์)       ดังนั้น ตำแหน่งปัจจุบัน ของเครื่องรับ GPS ก็จะสามารถเป็นจุดใดๆ ก็ได้ บนผิวทรงกลมที่มีรัศมี 18,600 ไมล์
รูปโลก โดน สัมผัสด้วยทรงกลม ใส
       ดาวเทียม GPS 2 : ระยะเวลาในการส่งสัญญาณจากดาวเทียมดวง GPS 2 ถึงเครื่องรับ GPS คือ 0.08 วินาที ระยะทางระหว่างดาวเทียมกับ GPS 2 คือ 13,200 ไมล์ (186,000 ไมล์ต่อวินาที X 0.08 วินาที = 13,200 ไมล์)       ดังนั้น ตำแหน่งปัจจุบัน ของเครื่องรับ GPS ก็จะสามารถเป็นจุดใดๆ ก็ได้ บนเส้นรอบวงที่เป็นการตัดกันของ ทรงกลมรัศมี 18,600ไมล์ ของดาวเทียม GPS 1 กับ ทรงกลมรัศมี 13,200ไมล์ ของดาวเทียม GPS 2
รูปโลก โดน สัมผัสด้วยทรงกลม ใส 2 วง

       ดาวเทียม GPS 3 : ระยะเวลาในการส่งสัญญาณจากดาวเทียมดวง GPS 3 ถึงเครื่องรับ GPS คือ 0.06 วินาที ระยะทางระหว่างดาวเทียมกับ GPS 3 คือ 11,160 ไมล์ (186,000 ไมล์ต่อวินาที X 0.06 วินาที = 11,160 ไมล์)       ดังนั้น ตำแหน่งปัจจุบัน ของเครื่องรับ GPS ก็จะสามารถเป็นได้แค่ 2 จุด ที่เกิดจากจุดตัดของ ผิวทรงกลมรัศมี 18,600ไมล์ ของดาวเทียม GPS 1 กับ ผิวทรงกลมรัศมี 13,200ไมล์ ของดาวเทียม GPS 2 และ ผิวทรงกลมรัศมี 11,160 ไมล์ ของดาวเทียม GPS3รูปโลก โดน สัมผัสด้วยทรงกลม ใส 3 วง
       ดังนั้น หากอุปกรณ์ GPS ยิ่งสามารถรับสัญญาณจากดาวเทียม GPS มากดวงเท่าไร ก็จะยิ่งสามารถ ระบุตำแหน่งได้แม่นยำยิ่งขึ้น       ในกรณี ที่อุปกรณ์รับ GPS สามารถรับสัญญาณ GPS ได้จากดาวเทียม GPS เพียง 3 ดวง อุปกรณ์รับ GPS จะมีความสามารถในการประมาณตำแหน่งบนพื้นโลกได้ และจะตัดจุดที่ไม่ใช่ตำแหน่งบนพื้นโลกทิ้งไป ทำให้เหลือเพียงตำแหน่งแหน่งเดียวที่เป็นไปได้
       จะเห็นได้ว่าจะเหลือตำแหน่งอยู่ 2 จุดที่บริเวณวงกลมทั้ง 3 ตัดกันคือตำแหน่งที่ อยู่ในอวกาศซึ่งแน่นอนว่าเราไม่สามารถไปอยู่ในอวกาศได้ตำแหน่งนี้จะถูกตัดทิ้งอัตโนมัติ โดยเครื่อง GPS อีกตำแหน่งคือตำแหน่งบนพื้นโลกซึ่งเป็นตำแหน่งที่เรายืนถือเครื่อง GPS อยู่นั้นเองซึ่งความถูกต้องแม่นยำของตำแหน่งก็ขึ้นกับจำนวนดาวเทียมที่สามารถรับ สัญญาณ ได้ในขณะนั้นหากมีมากกว่า 3 ดวงก็จะละเอียดมากขึ้น และก็ขึ้นกับเครื่อง GPS ด้วย หากเป็นเครื่องที่มีราคาแพง ( ซึ่งมักใช้เฉพาะงาน) ก็จะมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

4.ประโยชน์
การนำ GPS มาประยุกต์ใช้ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิต
GPS เป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจและใกล้ตัวเราอย่างมาก และด้วยความสามารถของ GPS ทำให้ สามารถนำข้อมูลตำแหน่ง มาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
- ระบบนำร่อง (Navigation System)
- ระบบติดตามยานพาหนะ (Automatic Vehicle Location)
- การสำรวจพื้นที่ (Survey)
- การทำแผนที่ (Mapping) เป็นต้น

การประยุกต์ใช้งานกับการดำรงชีวิต
มีการนำ GPS มาใช้ประโยชน์ในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ ที่ผู้ผลิตรถยนต์หลายๆ ยี่ห้อ ได้ติดตั้งอุปกรณ์ GPS ไว้บนตัวรถ ทำงานร่วมกับแผนที่ประเทศไทย และแผนที่เมืองต่างๆ บนโลก เพื่อระบุตำแหน่งของรถยนต์บนแผนที่นั้น ก่อให้เกิดประโยชน์ในการเดินทาง การค้นหา สถานที่ และไปยังจุดหมายที่ต้องการได้แม่นยำและรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถพัฒนาไป ถึงการแก้ไขปัญหาจราจร ที่ส่วนหนึ่งเกิดจาดผู้ขับขี่ที่ไม่ชำนาญเส้นทาง จนทำให้ขับขี่ได้ช้าลง หรือหลงทางได้

ประยุกต์ใช้ในการเดินทางโดยจักรยาน
ซึ่งสามารถบันทึกเส้นทางที่เราต้องการเดินทางไป หรือนำไปยังเส้นทางที่คนอื่นได้บันทึกไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถบอกถึงทิศทางที่จะต้องไป ระยะทางที่เหลือ และระยะทางที่จะถึงปลาย ทางด้วย (ขึ้นกับคุณสมบัติของอุปกรณ์ GPS)

ประยุกต์ใช้ในการเดินป่าโดยใช้งานคุณสมบัติของอุปกรณ์แต่ละรุ่น/ยี่ห้อ เช่น การเก็บระยะทาง โดยรวม, นาฬิกา, เข็มทิศ, เวลาพระอาทิตย์ขึ้น-ตก เป็นต้น หรือแม้แต่การติดตามตัวก็สามารถนำ ไปประยุกต์ใช้งานได้

จะเห็นแล้วว่า ประโยชน์ของ GPS มีมากมายหลากหลาย ขึ้นกับว่าจะนำไปประยุกต์ใช้ในทางที่ก่อ ให้เกิดประโยชน์กับตัวเรา หรือในเชิงธุรกิจ อีกทั้งอุปกรณ์ GPS ยังสามารถหาซื้อได้อย่างง่ายดาย หลากหลายรุ่น หลากหลายราคา และหลากหลายฟังก์ชั่นการใช้งาน ตามความต้องการที่จะนำไป ประยุกต์ใช้ได้อีกด้วย

ปัจจุบันนี้ได้มีการใช้งาน GPS ในรูปแบบต่างๆดังนี้
- การกำหนดพิกัดของสถานที่ต่าง ๆ การทำแผนที่ งานสำรวจ โดยส่านใหญ่นิยมใช้อุปกรณืที่ สามารถพกพาไปได้ง่าย มีความทนทาน กันน้ำได้ สามารถใช้กับถ่านไฟฉายขนาดมารตฐานได้
- การนำทาง ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางมีหลากหลายแบบและขนาด สามารถนำทางได้ทั้ง ภาพและเสียง ใช้ได้หลายภาษาบางแบบมีภาพเสมือนจริง ภาพสามมิติ และประสิทธิภาพอื่นๆเพิ่ม เติมเช่น multimedia Bluetooth handfree เป็นต้น
- การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน โครงข่ายหมุดดาวเทียม GPS ของกรมที่ดิน (DOLVRS)
- การกำหนดจุดเพื่อบรรเทาสาธารณะภัย เช่น เสื้อกั๊กชูชีพที่มีเครื่องส่งสัญญาณจีพีเอส
- การวางผังสำหรับการจัดส่งสินค้า
- การนำไปใช้ประโยชน์ในขบวนการยุติธรรม เช่นการติดตามบุคคล การติดตามการค้ายาเสพติด
- การนำไปใช้ประโยชน์ทางทหาร ดูรายละเอียดเกี่ยวกับอนาคตGPS ทางทหารจากกระทรวง กลาโหมสหรัฐที่นี่ The Future of the Global Positioning System
- การกีฬา เช่นใช้ในการฝึกฝนเพื่อวัดความเร็ว ระยะทาง แคลลอรี่ที่เผาผลาญ หรือ ใช้ใน สนามกอล์ฟเอคำนวนระยะจากจุดที่อยู่ถึงหลุม
- การสันทนาการ เช่น กำนดจุดตกปลา หาระยะเวลาที่เหมาะสมในการตกปลา การวัดความเร็ว ระยะทาง บันทึกเส้นทาง เครื่องบิน/รถบังคับวิทยุ
- ระบบการควบคุมหรือติดตามยานพาหนะ การติดตามบุคคล เพื่อให้ทราบว่ายานพาหนะอยู่ที่ใด มีการเคลื่อนที่หรือไม่ มีการแจ้งเตือนให้กับผู้ติดตามเมื่อมีการเคลื่อนที่เร็วกว่าที่กำหนดหรือ เคลื่อนที่ออกนอกพื้นที่หรือเข้าสู่พื้นที่ที่กำหนด นอกจากนั้นยังสามารถนำไปใช้ในการป้องกัน การโจรกรรมและติดตามทรัพย์สินคืน
- การนำข้อมูล GPS มาประกอบกับภาพถ่ายเพื่อการท่องเที่ยว การทำรายงานกิจกรรม เป็นต้น โดยจะต้องมีเครื่องรับสัญญาณดาวเทียมติดตั้งอยู่กับกล้องบางรุ่น หรือการใช้ GPS Data Logger ร่วมกับ Software

5. ระบบติดตามรถยนต์

ระบบติดตามยานพาหนะ : 
Vehicle Tracking System


บริษัท ชายซอฟท์ จำกัด


ก่อตั้งเมื่อปี 2543 ดำเนินการมาแล้วกว่า 12 ปี

สำหรับติดตามการเดินทางของรถ ติดตามพฤติกรรมการขับรถ 
ควบคุมการเบิกจ่ายค่าน้ำมัน และค้นหาตำแหน่งรถ กรณีสูญหาย
แสดงตำแหน่งของยานพาหนะ พร้อมชื่อสถานที่ใกล้เคียง
มีฐานข้อมูลแผนที่ทั่วประเทศ ระดับ ถนน ซอย ใช้แผนที่    
คลิกที่นี่ เพื่อดูแผนที่ของ Longdo Map
สอบถามตำแหน่งปัจจุบันของรถ ดูประวัติการเดินทางย้อนหลังได้ 1 ปี
ใช้งานระบบทางเว็บไซต์ ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม สามารถใช้งานได้ใน Tablet และ Smart Phone หรือ สอบถามตำแหน่งรถกับระบบ SMS
บริการ On Site Service กรุงเทพ ปริมณฑล หากเครื่องมีปัญหา เข้าไปตรวจสอบให้ ฟรี ไม่มีค่าแรง ค่าอะไหล่ ค่าเดินทาง (เฉพาะรุ่นมาตรฐาน)

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Sound card การ์ดเสียง มมีหน้าที่

1.
Sound Card คืออะไร
    Sound Card (การ์ดเสียง) คือ อุปกรณ์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถแสดงผลออกมาในรูปแบบเสียงได้ โดยจะทำหน้าที่ควบเรื่องเสียง อย่างเช่น ถ้าวงจรเสียงใช้กับเกมส์ที่เราเล่นจะเกิด เสียงต่าง ๆ   หรือสร้างเสียงเอฟเฟคต่าง ๆ เข้าเป็น วงจรเสียงที่ใช้กับดนตรีชนิดต่าง ๆ สำหรับสร้างสรรค์งานเพลงที่เราต้องการให้มีคุณภาพของเสียงที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยคุณภาพเสียงจะขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อของ Sound Card
    ความชัดเจนของเสียงจะมีประสิทธิภาพดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ อัตราการสุ่มตัวอย่างและความแม่นยำของตัวอย่างที่ได้ ซึ่งความแม่นยำของตัวอย่างนั้นถูกกำหนดโดยความสามารถของ A/D Converter ว่ามีความละเอียดมากน้อยเพียงใด ทำอย่างไรจึงจะประมาณค่าสัญญาณดิจิตอลได้ใกล้เคียงกับสัญญาณเสียงมากที่สุด ความละเอียดของ A/D Converter นั้นถูกกำหนดโดยจำนวนบิตของสัญญาณดิจิตอลเอาต์พุต เช่น
          - A/D Converter 8 Bit จะสามารถแสดงค่าที่ต่างกันได้ 256 ระดับ
          - A/D Converter 16 bit จะสามารถแสดงค่าที่ต่างกันได้ 65,536 ระดับ
          หากจำนวนระดับมากขึ้นจะทำให้ความละเอียดยิ่งสูงขึ้นและการผิดเพี้ยนของสัญญาณเสียงยิ่งน้อยลง นั่นคือ ประสิทธิภาพที่ของเสียงที่ได้รับดีขึ้นนั่นเองแต่จำนวนบิตต่อหนึ่งตัวอย่างจะมากขึ้นด้วย

   Sound Card มีความจำเป็นแค่ไหน
    ปัจจุบัน Mainboard ของเครื่อง PC Computer แทบทุกตัว ล้วนติดตั้งวงจรแสดงผลการประมวลและส่งออกของเสียง มาในตัวเองทั้งสิ้น หรือที่เรียกกันว่า Sound on Board ดังนั้น ความจำเป็นในการซื้อ Sound Card มาใช้งานจึงลดความจำเป็นลง หรือบางคนอาจคิดว่าไม่จำเป็นอีกต่อไป ก็ในเมื่อมีภาครับ-ส่งสัญญาณเสียงอยู่แล้ว แล้วยังจะต้องซื้อ Sound Card มาใช้งานให้ทับซ้อน สิ้นเปลืองสตางค์อีกทำไม เมื่อมันก็ทำงานเหมือนๆ กัน 
มาถึงจุดนี้ คงต้องถามตัวเองแล้วละ ว่า เราใส่ใจกับเสียงที่อยากได้ยินนั้นแค่ไหน ?
- ถ้าคุณรู้สึกว่า เสียงที่ได้จาก เพลง หนัง ละคร ไม่ว่าจะฟังจาก คอม วิทยุ เครื่องเล่น CD โทรทัศน์ ทุกอย่างมันก็เหมือนๆ กัน ฟังรู้เรื่องว่าเป็นเสียงอะไร ต่างกันแค่เสียงดัง หรือเสียงเบาเท่านั้น - หากเป็นเช่นนั้น สรุปได้ว่า Sound Card นั้น ไม่มีความจำเป็นกับคุณเลย
- แต่ถ้าคุณรู้สึกถึงว่า เสียงที่ได้ยินจากแต่ละเครื่องเล่น แต่ละอุปกรณ์ คอมแต่ละเครื่อง มีความแตกต่างกัน อันนั้นเบสหนักสะใจ อันโน้นเสียงโปร่งๆ ปิ้งๆ ฟังสบาย อันนี้เสียงหวาน นิ่มนวล ฯ - แบบนี้ Sound Card อาจมีส่วนช่วยคุณได้ เพื่อให้ได้เสียงที่ออกจากระบบคอมพิวเตอร์เป็นไปในแบบทีชอบหรือต้องการมากขึ้น
ข้อมูลอ้างอิง
http://www.overclockzone.com
http://www.dol.go.th

1.1


PCI Slots (Peripherals component interconnect)พิมพ์อีเมล์

           สล็อตพีซีไอ เป็นช่องที่เอาไว้สำหรับติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น ติดตั้งการ์ด SCSI การ์ดเสียง การ์ดเน็ตเวิร์ค โมเด็มแบบ Internal เมนบอร์ดโดยส่วนใหญ่จะมีสล็อตพีซีไอเป็นสีขาวครีม แต่ก็มีเมนบอร์ดรุ่นใหม่บางรุ่นที่เพิ่มสล็อตพีซีไอ โดยใช้สีแตกต่าง เช่น สีน้ำเงิน เพื่อใช้ติดตั้งการ์ดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ สล็อตแบบพีซีไอนั้นถูกออกแบบมาแทนสล็อตแบบ VL ซึ่งทำงานได้ช้า การติดตั้งอุปกรณ์ทำได้ยาก เนื่องจากต้องเซ็ตจัมเปอร์ แต่พีซีไอนั้นจะเป็นระบบ Plug and Play ที่ติดตั้งอุปกรณ์ได้ง่ายกว่า อุปกรณ์บางอย่าง เช่น การ์ดเสียง เมื่อติดตั้งแล้วโอเอส จะรู้จักทันทีหรือเพียงแค่ลงไดรเวอร์เพิ่มเติมเท่านั้น อนึ่งสล็อตแบบพีซีไอนั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า PCI Bus ซึ่งก็หมายถึง เส้นทางที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลระหว่างเมนบอร์ดกับอุปกรณ์ต่อพ่วง โดยบัสแบบจะทำงานในระบบ 32 บิต
           PCI Express x16 Slot ของแผงวงจรหลัก ภาพขวามือจะแสดงภาพขยายช่องเสียบ

การส่งข้อมูล
-การ์ดแสดงผลภาพแบบ PCI Express x16 จะมีอัตรา Bandwidth ที่มีความเร็วสูงกว่าการ์ดแสดงผลภาพแบบ AGP 8x ประมาณ เท่า โดย PCI Express x16 มี Bandwidth เท่ากับ 8 GB/s (Gigabytes per second)
AGP 8x มี Bandwidth เท่ากับ 2.1 GB/s (Gigabytes per second)
การรับส่งข้อมูล PCI Express จะเป็นแบบ ทาง (Two Wayซึ่งจะแตกต่างจากมาตรฐานของ PCI ที่จะมีการส่งผ่านข้อมูลแบบทิศทางเดียว (One Way)

ปัญหาช่องเสียบการ์ด (
Slot) มีการจ่ายไฟฟ้าให้กับตัวการ์ดแสดงผลภาพไม่พอ
ช่องเสียบการ์ดแสดงผลภาพแบบ PCI Express x16 สามารถจ่ายกำลังไฟฟ้าได้ 75 W.
ช่องเสียบการ์ดแสดงผลภาพแบบ AGP 8x จ่ายกำลังไฟฟ้าได้ 25 W.

           PCI มาจากคำว่า Peripheral Component Interconnection ซึ่งเป็น Local Bus แบบหนึ่งที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน หลาย ๆ คนอาจจะไม่คุ้นเคยกับคำว่า Local Bus ซึ่งจริง ๆ แล้วมันหมายถึงระบบบัสที่มีเส้นสายสัญญาณที่เชื่อมต่อกันโดยตรงระหว่างบัสของไมโครโปรเซสเซอร์ (System Bus) กับ Local Bus ซึ่งทำให้อัตราความเร็วและขนาดของบิตข้อมูลเท่ากับตัวซีพียู แต่ในระบบ PCI Bus จริง ๆ แล้วไม่ได้เชื่อมต่อกับ System Bus แต่จะเชื่อมต่อผ่านกับชุดระบบ PCI Chip Set ซึ่งจะมีข้อดีที่ว่า จะไม่ใช้กระแสไฟจากสัญญาณของ System Bus ทำให้สามารถมีจำนวนของ PCI Slot ได้มาก ส่วนขนาดของบิตข้อมูลที่ใช้ติดต่อกันระหว่าง PCI I/O Card กับซีพียูจะมีขนาด 32 บิต ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดปัญหาคอขวด แต่จะมีปัญหาอยู่ที่ความเร็วการทำงานที่ 33.3 MHz

อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลบน
 PCI Bus เป็นดังนี้
           33 MHz x 32 Bit = 1,056 Mbit/Sec หรือ 132 MB/Sec ซึ่งหาเป็นระบบ PCI Bus ขนาด 64 บิต เราจะได้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว หรือประมาณ 264MB/Sec ซึ่งจะเหมาะสมกับงาน Graphics ขนาดใหญ่ต่าง ๆ

มาตรฐานต่าง ๆ ของของ
 PCI ในปัจจุบัน
- PCI 2.0 ทำงานที่ความเร็ว 30-33MHz
- PCI 2.1 สนับสนุนการทำงานที่ความเร็ว 66MHz
            - PCI 2.2 สนับสนุน slot ได้สูงถึง 5 slot และยังรองรับ PCI card แบบ Bus Master

รูปแบบของระบบ
 PCI Bus
- PCI Bus มีอยู่ 2 แบบ คือแบบ 32 บิต และ 64 บิต
มีการแบบใช้แรงดันไฟ +3.3v และ +5v สำหรับระบบบนเครื่อง PC ทั่วไปที่เป็นขนาด 32 บิต จะใช้ +3.3v
สามารถถ่ายเทข้อมูลแบบ Burst Mode ที่มีขนาดของข้อมูลที่ส่งถ่ายกันมีขนาดไม่แน่นอน
เป็นระบบ Plug n Play หรือ PnP ที่คุ้นเคย ซึ่ง PnP ก็คือสามารถจัดตั้งค่า Configuration ในทางฮาร์ดแวร์โดยอัตโนมัติ ซึ่งสามารถตั้งค่าที่จะไม่ให้เกิดการอินเทอร์รัพต์ระหว่างกัน
สามารถทำงานแบบ Concurrent Bus PCI ได้ ซึ่งก็แปลว่า card ที่ติดตั้งต่าง ๆ สามารถทำงานได้พร้อมกันได้
- PCI Bus มีระบบตรวจสอบความผิดพลาดและรายงานขณะส่งถ่ายข้อมูล
เป็นระบบ Bus ที่ไม่ขึ้นกับ Processor ใด ๆ อีกทั้งยังสามารถ Configuration โดยผ่านทาง Bios Setup
อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งอยู่บน PCI Bus จะใช้เวลาการเข้าถึง (Access) ต่ำ (Low Latency) ซึ่งจะลดเวลาในการร้องขอในการทำงานในระบบ
            - มีระบบ Write Posting และ Read Prefetching ซึ่งก็คือการเตรียมเขียนข้อมูลคำสั่งไว้ล่วงหน้า และการเตรียมการอ่านข้อมูลคำสั่งไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นการประหยัดเวลาที่ใช้เตรียมอ่าน เขียนคำสั่งต่อไป 


ข้อมูลจาก www.bcoms.net


1.2

Audiotrakได้รับการยอมรับเป็นบริษัทที่มีหลาย- ปีมีประสบการณ์ในด้านของการแก้ปัญหาระบบเสียงดิจิตอลของลูกบาศก์อัจฉริยะที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของaudiotrak& rsquo; เทคโนโลยีของตัวเองได้ผลดีที่สุดคอมพิวเตอร์- basedระบบเสียงมัลติมีเดีย, เข้ากันได้กับapplemacสนับสนุนเช่นเดียวกับหน้าต่าง, usb- basedและมีประสิทธิภาพสูง- คุณภาพเสียงหูฟังแบบdualแอมป์, ที่ดีที่สุดคอนเดนเซอร์- ใช้อนาล็อกrcaเอาท์พุทพอร์ต, และความสูง- คุณภาพหม้อแปลง- ใช้แสงและเอาท์พุทcoaxialดิจิตอลสำหรับที่ดีที่สุด- คุณภาพแก้ปัญหาเสียงของสูง- คุณภาพไมโครโฟนแอมป์เป็นอย่างเต็มที่ป้องกันจากการแทรกแซงกับอนาพอร์ตออกเพื่อเพิ่มของสาธารณูปโภคสำหรับมัลติมีเดียของ



Usb- basedd/การแปลง
อายุชิปเซ็ต, ที่24บิต/96khzusbเสียงควบคุม, คือการติดตั้งเช่นเดียวกับwolfson& rsquo; sสูง- ประสิทธิภาพd/การแปลงของอัจฉริยะก้อนถูกขับเคลื่อนโดยการเชื่อมต่อusbและพอเพียงที่ดีที่สุดคือการแก้ปัญหาเสียงusbติดตั้งไดรเวอร์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ของ
ที่มีประสิทธิภาพheadphoneamp
หูฟังแบบdualเอาท์พุทไม่จำเป็นต้องแปลงเพศโดยการสนับสนุนทั้งสเตอริโอ- ขนาดเล็กและสเตอริโอ- มาตรฐานโทรศัพท์, ทำงานได้ดีกับหูฟังพอแม้150โอห์ม, และมีความชัดเจนและสูง- ความละเอียดเสียงผ่านการd/การแปลงและสูง- ประสิทธิภาพopampของสำหรับการป้องกันวงจรที่ต่ำ- ความต้านทานหูฟังมีการติดตั้งบนของพอร์ตเอาต์พุตสเตอริโอ- มินิหูฟังมาตรฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆลูกบาศก์อัจฉริยะสำหรับหูฟังของ
สูง- คุณภาพสัญญาณดิจิตอล
24bit/96khzบิต- ที่สมบูรณ์แบบlosslesspcmดิจิตอลเอาท์พุทได้รับการสนับสนุนของทั้งแสง/พอร์ตคู่มีการติดตั้งสำหรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ดิจิตอลต่างๆของac3( dolbydigital)/dtsผ่าน- ผ่านตระหนัก5.1ระบบเสียงรอบโดยการเชื่อมต่อกับเครื่องรับและถอดรหัส- ฝังโฮมเธียเตอร์ลำโพงของ
ที่ดีที่สุด- คอนเดนเซอร์ที่มีคุณภาพ
Ofcคอนเดนเซอร์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่บนจุดที่สำคัญในวงจรของos- con( ที่ดีที่สุดspชุด) ของsanyo, ประเภทlow-esrlxvahsชุดและชุด( สำหรับเสียงไฮไฟเท่านั้น) ของsamyoung, และสูง- ฟิล์มที่มีคุณภาพของคอนเดนเซอร์wimaที่เกิดขึ้นบนlpf( low- pass- กรอง) ที่มีการติดตั้งเพื่อเพิ่มคุณภาพส่งออกอนาล็อกของ
สูง- ประสิทธิภาพไมโครโฟนแอมป์
Hi- fiเสียงที่มีเอาท์พุทเสียงให้, สูง- ประสิทธิภาพไมโครโฟนแอมป์เป็นติดสำหรับคอมพิวเตอร์สนทนาด้วยเสียง, โทรศัพท์อินเทอร์เน็ต, เพลงกระจายเสียงและอินเทอร์เน็ตของสูง- ประสิทธิภาพไมโครโฟนแอมป์จะถูกแยกออกอย่างสมบูรณ์จากพอร์ตการส่งออกเพื่อป้องกันการรบกวนระหว่างเข้าและส่งออกของเสียงสำหรับสูง- คุณภาพของinputและoutputเสียงของ


2. speaker ลำโพง มีหน้าที่


ลำโพง ( loudspeaker, speaker) เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าเชิงกลอย่างหนึ่ง ทำหน้าที่แปลงสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นเสียง มีด้วยกันหลายแบบ คำว่า ลำโพงมักจะเรียกรวมกัน ทั้งดอกลำโพง หรือตัวขับ (driver) และลำโพงทั้งตู้ (speaker system) ที่ประกอบด้วยลำโพงและวงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับแบ่งย่านความถี่ (ครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ก)
ลำโพงนับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในระบบเครื่องเสียง โดยมีขนาดตั้งแต่เล็กเท่าปลายนิ้ว จนถึงใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางนับสิบนิ้ว โดยมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน 
ประเภทของลำโพง
1.ทวีทเตอร์ คือลำโพงที่มีขนาดเล็กสุดของตู้ลำโพงออกแบบมาเพื่อให้เสียงที่มีความถี่สูง
ที่มา http://anumat.blog.mthai.com/2007/12/ 
2.มิดเรนจ์ คือลำโพงขนาดกลางของตู้ลำโพงถูกออกแบบมาเพื่อให้เสียงในช่วงความถี่เป็นกลางๆ คือไม่สูงหรือไม่ต่ำมากเกินไป


3.วูฟเฟอร์ คือลำโพงที่มีขนาดใหญ่สุดของตู้ลำโพงออกแบบมาเพื่อให้เสียงที่มีความถี่ต่ำ

  4.ซับวูฟเฟอร์ คือลำโพงที่ทำหน้าที่ขับความถี่เสียงต่ำสุด มักมีตู้แยกต่างหาก และใช้วงจรขยายสัญญาณในตัว

เสียงของลำโพงออกมาได้อย่างไร

2.1  แบบฟูลเรนจ์

  เสียงเป็นคลื่นตามยาว   เสียงแหลมและทุ้มขึ้นกับความถี่ ส่วนสียงดังหรือค่อยขึ้นอยู่กับขนาด แอมพลิจูดของคลื่นนั้น  เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า  ไมโครโฟนมีหน้าที่แปลงสัญญาณเสียง ให้เป็นสัญญาณทางไฟฟ้า และนำสัญญาณที่ได้ไปบันทึกลงบนเทปคาสเซ็ท แผ่น CDหรือเครื่องเล่น MP3 ซึ่งกำลังฮิตกันอยู่ในปัจจุบัน เมื่อเราต้องการจะนำเสียงที่บันทึกกลับออกมา   ภายในเครื่องเล่นเหล่านี้จะมีหัวอ่านคอยอ่านสัญญาณทางไฟฟ้าที่บันทึกอยู่ในเนื้อเทป  ซึ่งในขณะที่อ่านยังเป็นสัญญาณที่อ่อนมาก  จึงต้องนำเข้าเครื่องขยายสัญญาณก่อน เมื่อได้สัญญาณที่แรงพอแล้วจึงขับออกทางลำโพง กลายเป็นเสียงออกมา           
          ส่วนสำคัญที่สุดของเครื่องเล่นเหล่านี้ก็คือลำโพง  โดยหน้าที่สำคัญสุดของลำโพงคือ  เปลี่ยนสัญญาณทางไฟฟ้าที่ได้มาจากเครื่องขยายเป็นสัญญาณเสียง  ลำโพงที่ดีจะต้องสร้างเสียงให้เหมือนกับต้นฉบับเดิมมากที่สุด  โดยมีการผิดเพี้ยนน้อยที่สุด
ที่มาhttp://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/physics2/speaker/speaker.htm

-แบบฟูลเรนจ์ (full-range) คือ

ลำโพงที่มีเสียงครบย่านความถี่สูงกลางต่ำในดอกเดียวกัน แต่ไม่ว่า

จะมีกี่ดอกก็ตามแต่ หากครบย่านความถี่สูงกลางต่ำก็เป็น full-range

แล้วครับ ไม่วาจะใช้กี่ดอกก็ตามแต่ครับ

จากhttp://thaiaudioclub.net/board/index.php?topic=7112.0

-แบบมีซับวูฟเฟอร์ (subwoofer)คือ

ซับวูฟเฟอร์ถือเป็นอุปกรณ์ฯชิ้น

สำคัญที่มีหน้าที่ในการเติมเสียงต่ำให้กับชุดเครื่องเสียง หรือจะกล่าว

ว่ามันเป็นสิ่งเสพติดสำหรับนักเล่นฯที่พิสมัยในอานุภาพความสั่น

สะเทือนเลื่อนลั่นก็คงไม่เกินเลยไปนัก แล้วก็เป็นที่ทราบกันดีว่าซับ

วูฟเฟอร์ที่จะสามารถผลิตเสียงต่ำได้ลึกสุดๆ จำเป็นต้องมีขนาดหน้า

ตัดของกรวยลำโพงที่ใหญ่โตมโหฬารถึงจะสามารถ

จากhttp://www.whatgroupthai.com/whatAudioVideo/134/kef_sub-c4.html

2.2  แบบซับวูฟเฟอร์


ลำโพงซับวูฟเฟอร์แบบบาง-ซับบาง MB QUART RLP-254 คุณภาพสูง 
ซับบาง 10 นิ้ว MB QUART RLP-254 ซับบางคุณภาพสูง วอยซ์คอยล์แบบคู่ ให้ลูกเบสที่กระชับ นุ่มลึก 
ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง และสวยงาม ระยะติดตั้ง เพียง 3" ติดตั้งง่าย ทนวัตต์สูง ให้คุณภาพเสียงดี คุณภาพเสียงดีเยี่ยมแบบฉบับไฮเอนด์ กินปริมาตรตู้เพียง 0.5 ลบ.ฟุต Specification -10" Dual 4 Ohm Reference Series Shallow Mount Subwoofer 
-Power Handling: 
-Peak: 600 watts 
-RMS: 300 watts 
-Impedance: Dual 4 Ohm 
-Injection molded polypropylene cone woofer 
-NBR rubber surround for more cone area and excursion 
-Shallow mount for small and compact installations 
-Recommended use is in sealed enclosures with heavy poly fill 
-Dual 4 ohm 2-1/2” (64mm) voice coils 
-Sensitivity: 82dB 
-Frequency response: 25-160Hz 
-Authorized Internet Dealer ราคาคู่ละ 5600 บาท ข้างละ 2900 
http://www.caraudioshopthailand.com/store/product/view/ซับบาง_10_นิ้ว_MB_QUART_RLP_254-21906190-th.html 

2.3 แบบรอบทิศทาง

Logitech-Z5
เป็นที่ทราบกันดีว่าการติดตั้งลำโพงภายนอกย่อมให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าลำโพงแบบติดตั้งภายในที่มาพร้อมกับเครื่องโน้ตบุ้ค โดยในวันนี้ ลอจิเทคได้นำเสนอวิวัฒนาการใหม่ที่ล้ำหน้าไปอีกขั้นหนึ่งให้กับวงการลำโพงสำหรับคอมพิวเตอร์ ด้วยการเปิดตัวชุดลำโพงสเตริโอรอบทิศทาง Logitech® Z-5 สำหรับใช้กับคอมพิวเตอร์ PC และ Mac ซึ่งจะขับพลังเสียงระดับคุณภาพให้ดังไปยังทั่วทุกมุมห้องของคุณ
นับเป็นการฉีกกฎเดิมๆ ของชุดลำโพงสำหรับ PC ทั่วไป ซึ่งโดยปกติจะขับเสียงออกมาเพียงทิศทางเดียว เพราะชุดลำโพง Logitech Z-5 นั้นได้ใช้ ใช้เทคโนโลยีเสียงรอบทิศทางมาช่วยสร้างมิติของเสียงให้กว้างขึ้น เพื่อส่งผ่านเสียงไปอย่างทั่วถึงทุกมุมห้อง คุณสมบัตินี้นับเป็นคุณสมบัติเด่นซึ่งเหมาะสำหรับท่านที่ชอบเคลื่อนย้ายคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คไปรอบๆ บ้านหรือแม้แต่ในออฟฟิศ ทั้งนี้เทคโนโลยีเสียงรอบทิศทางที่ใช้กับ Logitech Z-5 นั้น แต่เดิมเป็นเทคโนโลยีที่จะพบได้ในระบบโฮมเธียเตอร์ราคาแพงเท่านั้น ซึ่งจะใช้ดอกลำโพงด้านหน้าและด้านหลังในการทำหน้าที่ส่งผ่านเสียงระดับคุณภาพไปทั่วทุกทิศทาง ไม่ว่าคุณกำลังฟังเพลงโปรดหรือกำลังดูวิดีโอบน YouTube คุณจะได้รับอรรถรสของเสียงที่ครบถ้วน ถ่ายทอดทุกรายละเอียดเสียงได้อย่างมีมิติ โดยสูญเสียรายละเอียดเสียงน้อยที่สุดในการส่งผ่านเสียงไปทั่วทุกมุมห้องของคุณ
“เราตื่นเต้นและภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้นำเทคโนโลยีเสียงรอบทิศทางมาสู่ลำโพงสำหรับคอมพิวเตอร์ PC และ Mac” มร. มาร์ค ชไนเดอร์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไปส่วนธุรกิจออดิโอของลอจิเทค กล่าวและว่า “เรามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าชุดลำโพง Z-5 จะนำพาประสบการณ์แห่งเสียงในระดับสุดยอดมาสู่ความบันเทิงบนคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าคุณกำลังฟังเพลงหรือกำลังดูภาพยนตร์ ด้วยเทคโนโลยีเสียงรอบทิศทาง เสียงจะอยู่รอบตัวคุณทุกหนทุกแห่งในห้อง ไม่ว่าคุณจะตั้งคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปหรือโน้ตบุ๊คไว้ตำแหน่งใดก็ตาม”
ทั้งนี้ คุณสามารถนำระบบเสียงดิจิตอลออดิโอชั้นยอดติดตัวไปกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของคุณได้อย่างง่ายดาย ชุดลำโพงเสียงรอบทิศทาง Z-5 มีคุณสมบัติพิเศษสามารถติดตั้งเข้ากับคอมพิวเตอร์ PC หรือ Mac ทุกเครื่องผ่านพอร์ต USB โดยไม่จำเป็นต้องใช้อะแดปเตอร์จ่ายพลังงานไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่ และยังเพลิดเพลินกับประสบการณ์เสียงระดับสุดยอดผ่านการควบคุมทางรีโมตไร้สายบางเฉียบดีไซน์สวย สามารถใช้รีโมตสั่งเปิดโปรแกรมบันเทิง เพิ่มลดเสียงและเลือกโปรแกรมโปรดได้จากอีกฟากฝั่งของห้อง

3. Head phone หูฟัง มีหน้าที่

เฮดโฟนแอมป์ (Headphone Amp) คืออะไร ?
ในการเล่นของเล่นประเภท Gadget นั้น องค์ประกอบหลัก ก็คือตัว Player หรือเครื่องเล่น MP3, MP4 ซึ่งก็วนเวียนใช้กันอยู่ 3-4 ยี่ห้อนี่แหละครับ  และองค์ประกอบอีกอันก็คือหูฟังนั่นเอง  และหลังจากที่ท่านหมดตูดไปกับสินค้าเหล่านี้จนหน้าซีดหน้าเหลือง  มันก็ยังมีของเล่นอีกประเภทหนึ่งที่ท่านหลบหนีไม่พ้น ไม่ว่าจะหลบหรือเร้นกายไปอยู่แห่งหนตำบลไหน มันก็ยังตามไปหลอกหลอนท่านอยู่ร่ำไป ของสิ่งนั้นคือ.........
เฮดโฟนแอมป์ (Headphone Amplifier) นั่นเอง !!!!
เฮดโฟนแอมป์นั้นมีหน้าที่รับสัญญาณจากเครื่องเล่น Player เข้ามา และทำหน้าที่ขยายสัญญาณและจัดเรียงโมเลกุล (ขออภัย ผมนึกศัพท์ตั้งแต่ ประถม 4 มาใช้) แอมป์จะจัดวางระเบียบ และกลั่นกรอง และขยายสัญญาณ เพื่อส่งสัญญาณที่ปรับปรุงเรียบร้อยแล้วออกไป  โดยเอาหูฟังมาต่อผ่านเฮดโฟนแอมป์อีกทอดหนึ่ง........พูดง่ายๆ แอมป์ช่วยขยายสัญญาณให้ดังขึ้น และไพเราะเพราะพริ้งขึ้นนั่นเอง  และช่วยให้จิ๊กโก๋ หรือเด็กแว้น มีความสุขมากขึ้นนั่นแล.......
เฮดโฟนแอมป์เป็นอุปกรณ์การเพิ่มความสุขในชีวิต หรือความทุกข์ในชีวิต เรามาติดตามอ่านกันไปเรื่อยๆ นะครับ..........
เฮดโฟนแอมป์ในโลกนี้มีให้ท่านเลือกเล่นตั้งแต่หลักหลายแสน จนถึงระดับหลักร้อย  มีทั้งแบบพกได้ และแบบพกไม่ได้ แบบพกได้ก็มีตั้งแต่เล็กมาก จนถึงขนาดสามารถซ่อนไว้ในกางเกงชั้นในได้  ซึ่งเฮดโฟนแอมป์นั้นมีการเล่นอย่างแพร่หลายในไทยช่วงระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา  ในไทยนั้นผู้ผลิตเฮดโฟนแอมป์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ยังไม่ปรากฏเด่นชัดในจดหมายเหตุกรุงศรี 
แต่มีผู้ที่ดันทุรังและพยายามทำอย่างต่อเนื่องเพื่อหาเงินมายาไส้เลี้ยงตัวเองนั้น เห็นจะมีอยู่รายเดียวซึ่งก็คือคุณหมูหวานนั่นเอง  หมูหวานเจ้าของ Sweetpig Audio อันลือลั่นไปทั่วทั้งซอยจรัญฯ 68  ดังตั้งแต่ท้ายซ้อยยันปากซอย  เนื่องจากเจ้าหมูหวานกินแล้วเซ็นมาแทบทุกเจ้า 555
หลังจากที่ The Pig ได้เริ่มเข้าไปอยู่ในครัวเรือนของเหล่านักเล่นชาวไทย  ทางทีมงาน Sweetpig Audio ก็ได้มีความคิดจะทำเฮดโฟนแอมป์ที่มีขนาดเล็กลงไปกว่าเดิม โดยที่ตั้งเงื่อนไขว่า ต้องไม่ห่วยกว่าเดิม หรือฟังแล้วแทบจะบีบคอคนทำขายให้วายชีพ  แต่ต้องดีขึ้น พกง่ายขึ้น และแก้ไขข้อบกพร่องจากเดิมๆ มา  โครงการอันนี้คิดมาร่วมๆ 1 ปีครับ เนิ่นนานราวกับการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิอย่างไรอย่างนั้น...........

ในที่สุดทุกอย่างก็ผ่านพ้น และสำเร็จลงตัวลงมาแต่โดยดี กว่าจะออกสายตาสู่ประชาชี โดยแอมป์ตัวใหม่นี้ นามของเจ้าหล่อนคือ " Cinderella" ซินเดอเรลล่า หรือ เจ้าสาวแห่งรัตติกาลนั่นเอง............

แอมป์รุ่นใหม่ของ SweetPig Audio ตัวนี้ เป็นการดีไซน์ใหม่ และใช้ชิพตัวที่คาดว่ามีคุณภาพสูงสุดในกลุ่มที่ใช้ไฟขนาด 6VDC ครับ  และแนวคิดที่ต้องให้ลงตัวที่สุดก็คือ ต้องทำให้ติดหูคนไทย หรือทำให้สอดคล้องกับรสนิยมของคนไทยนั่นเอง  ซึ่งใครจะรู้ถึงรสนิยมคนไทยได้ นอกจากคนไทย  แอมป์ตัวนี้เป็นการคัดเลือกอุปกรณ์ค่อนข้างพิถีพิถันมาก เนื่องจากอุปกรณ์บางตัวนั้น หาไม่ได้ในไทย  ซึ่งเป็นเพราะว่าการทำแอมป์ตัวเล็กๆ นั้น ยังเป็นเรื่องใหม่  ยังไม่มีร้านอะหลั่ยร้านไหนในไทยสั่งอุปกรณ์ดีๆ และขนาดเล็กๆ มาขายกัน  ก็เลยกลายเป็นว่า อุปกรณ์ประมาณ 80% สั่งจากตลาดในอเมริกา และ ตลาดในฮ่องกง  ซึ่งแน่นอน มิได้เอามาจากปากคลองตลาด หรือแถวตลาด อ.ต.ก.จตุจักรด้วย..........
สิ่งที่ยากที่สุดในการทำแอมป์ ซินเดอเรลล่า นั้นก็คือ กล่องที่ใส่ หรือที่เรียกว่าเคสนั่นเองครับ เพราะงานนี้แทบจะกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ เนื่องจากว่าโรงงานที่พับเหล็ก และตัดเจาะเหล็กนั้น ไม่ถนัดที่จะทำงานเล็กๆ และจำนวนน้อยๆ ขนาดนี้  ทางคุณหมูหวานได้เทียวหาโรงงานที่ทำกล่องให้ โดยใช้เวลานานมาก และเป็นการเสียเวลานานที่ล้มเหลวอีกต่างหาก เนื่องจากหลังจากทำกับเจ้าแรก ปรากฏว่าลมใส่แทบล้มทั้งยืน เพราะงานมันช่างเฮงซวยเสียนี่กระไร.........ก็เลยวุ่นวายต้องเปลี่ยนโรงงาน จนมาเจอโรงงานที่ยอมรับทำให้  งานที่ออกมาถือว่าเป็นระดับที่ยอมรับได้ และน่าจะดีที่สุดเท่าที่จะหากันได้แล้วล่ะครับ
เคสที่ทำในซินเดอเรลล่านั้น เป็นเหล็กที่มีความแกร่ง พ่นทราย และชุบอโนไดซ์ดำเพื่อความคงทน แต่ไม่บอบบางจนดูก๊องแก๊ง หรือหนักจนเหมือนพกก้อนอิฐออกนอกบ้าน ความแข็งแกร่งเท่าที่ทดสอบนั้น  ผมลองปีนขึ้นไปบนยอดตึกใบหยก แล้วโยนทิ้งดิ่งลงมา ปรากฏว่า กระจายไม่เหลือซาก 555 และทำเอาหลังคารถแท๊กซี่ทะลุเป็นรูไป 1 คัน (พูดเล่น) ความแข็งแกร่งนั้นสร้างความมั่นใจให้กับคนใช้อย่างแน่นอน ส่วนที่จะติติงนั้น ผมคิดว่าอาจจะมีบ้างในเรื่องความเนียนของเคส ซึ่งอันนี้ต้องยอมรับคำติชมจริงๆ เพราะว่านี่คือดีที่สุดเท่าที่จะหาทำได้ในงานสั่งทำจำนวนน้อยๆ และหาทำกันใด้ในเมืองไทยเลยเชียวล่ะครับ  ซึ่งผลงานอันดับต่อๆไป เห็นทีจะต้องออกแบบ และวางเสปคให้ชัดเจน และอาจจะต้องพึ่งประเทศอุตสาหกรรมอย่างไต้หวันหรือฮ่องกงเป็นผู้ทำให้..........
เอ้า ดูกันต่อครับ งานนี้ทาง Sweetpig Audio ได้ทุ่มทุนสร้างกว่า 200 ล้านบาท ในการสั่งทำลูกบิดโวลลุ่มใหม่ด้วยครับ ไม่มีการใช้โวลลุ่มสำเร็จรูปให้ท่านนักฟังหงุดหงิดแต่อย่างใด  ลูกบิดที่ใช้กลึงนั้น สั่งทำพิเศษ เป็นการกลึงอลูมิเนียมแท้ๆ และให้มีทรวดทรงเดียวกับสินค้าไฮเอนด์เรือนแสนในกลุ่มเครื่องเสียงบ้านด้วย.........ลูกบิดสีขาว ปาดด้านข้าง ตัดกับหน้าปัดและตัวถังที่เป็นสีดำล้วน  และหนอยแน่..!!!  ยังเพิ่มความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยด้วยครับ ด้วยการสั่งปั๊มตัวน็อตเป็นรูปหัวหมูซะด้วย  เรียกว่างานนี้คนชอบก็แล้วไป แต่ถ้าใครหมั่นไส้ว่าตั้งใจทำมากไป มีหวังได้ไล่เตะหมูหวานแน่ๆๆ  แต่งานออกมาดูดีมากครับ เป็นเรื่องเป็นราวจริงๆๆๆ 
คราวนี้เรามาติดตามดูบั้นท้าย ของน้องนาง ซินเดอเรลล่ากันต่อนะครับ  ด้านหลังนั้นเป็นโลหะพับเรียบ และมีช่องสำหรับเสียบไฟชาร์ตอีก 1 ช่องครับ  ด้านหลังมีคำว่า Sweetpig Audio อยู่ 1 แถว พร้อมกับมีแถบขาวอยู่ 1 แถบครับ ทาง Sweetpig บอกว่าเอาไว้เขียน Serial number อีกเช่นเคย  หรือบางทีขี้เกียจเขียนก็คงจะปล่อยว่างๆไว้แบบนั้น  โดยมีเงื่อนไขว่าซ่อมฟรีตลอดชีวิตคุณหมูหวานนั่นเทียว  ซึ่งอะไหล่นั้นรับประกันให้ 3 ปี หากหลังจาก 3 ปีแล้วนั้น คิดแต่ค่าอะไหล่เท่านั้น ส่วนค่าแรงซ่อมนั้น ก็อย่างที่กล่าวไว้ครับ คือซ่อมฟรีจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง  หากคุณหมูหวานสิ้นชีพลง ท่านสามารถเผากงเต้กส่งไปให้คุณหมูหวานซ่อมได้ถึงในปรภพนั่นเลยล่ะ.........และคุณหมูหวานก็จะมาในรูปของวิญญาณเพื่อเอาแอมป์มาคืนให้ท่าน..........อะจ๊ากกกก !!!! ถ้าตายเมื่อไหร่ถือว่าเลิกประกันก็แล้วกัน แต่ถ้าไม่ตาย ยังไงก็ดูแลให้ครับ
คราวนี้มาชมภาพขยายแบบจะจะกันเลย  น็อตมือหมุน 2 ตัวนั้นนอกจากประทับตราหัวหมูพะโล้ต้มเค็มแล้ว ยังมีขนาดที่เหมาะเหม็ง สามารถหมุนถอดออกได้ง่าย โดยที่ท่านไม่ต้องซื่อบื้อไปยืมมือแม่ยายมาช่วยหมุนออกแต่ประการใด  แต่สำหรับบรรดาพระยาเทครัว อนุญาตให้ยืมมือเรียวๆ ของน้องเมียมาช่วยหมุนออกได้ครับ....สังเกตุให้ดีๆ  ในช่องสำหรับเสียบสายชาร์ตนั้น ระบุไว้ว่าเป็นขนาดไฟ 6VDC ซึ่งหมายความว่า ท่านไม่สามารถใช้ที่ชาร์ตอันอื่นได้นะครับ ซึ่งรูเสียบอันนี้เป็นรูเสียบขนาดเดียวกับโทรศัพท์โนเกีย  ท่านใดใช้มือถือโนเกีย สามารถเอาสายชาร์ตเสียบชาร์ตได้ทันทีครับ ส่วนท่านใดที่ยังไม่มี ก็ไม่ต้องกังวลจนคิดฆ่าตัวตาย หรือกินยาฆ่าหญ้าเพื่อปลิดชีพตนเอง  เพราะงานนี้สายชาร์ตมีแถมให้ในชุดนี้แบบเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว
การชาร์ตแบตเตอรี่นั้น สามารถเสียบชาร์ตไปและฟังไปด้วยพร้อมกัน ไม่จำเป็นต้องรอจนเต็มครับ เวลาในการชาร์ตนั้นคาดว่าน่าอยู่ประมาณ 3-5 ชั่วโมง และแบตเตอรี่สามารถจะอยู่ได้นานถึง 20 ชั่วโมง ต่อการชาร์ตแบบเต็มๆ 1 ครั้ง
ทีนี้เรามาเล่ากันถึงเรื่องขนาดและสัดส่วนของน้อง ซินเดอเรลล่า กันต่อ สัดส่วนวัดจากภายนอกนั้นขนาดเมื่อเทียบกับบัตรเครดิตแล้ว เล็กมากจริงๆๆ งานนี้สามารถปรับขนาดสัดส่วน จนสู้กับแอมป์ DIY ของต่างประเทศได้อย่างสบายๆ แล้วครับ ไม่มีการน้อยหน้าแต่อย่างใด  และซินเดอเรลล่านั้น ยังสามารถพกพาใส่กระเป๋าเสื้อได้อย่างสบายใจเฉิบ หรือถ้าท่านอยากจะพกใส่กระเป๋ากางเกง  ท่านสามารถจะมั่นใจได้ว่า ท่านจะไม่หยิบผิดหยิบถูก หรือหยิบพลาดไปคว้าเอากล่องดวงใจของตัวเองเข้า และมั่นใจได้สูงสุดว่า น้องซินเดอเรลล่า จะไม่ไปเบียดบังของสำคัญของหวงในกระเป๋ากางเกงของท่านอย่างแน่นอนครับ   อ้อ เมื่อเทียบกับเหรียญบาท 2 เหรียญจะเห็นว่า แม้แต่ลูกบิดยังเล็กจุ๋มจิ๋มกว่าแยะ ท่านสามารถเอาเงิน 2 บาท อมใส่ปาก แล้วนอนอมยิ้มพนมมือถือดอกบัวได้ทันที..........เฮ้ย..หลายคนร้อง กูยังไม่ตายเว้ย.......5555
อ้าว นั่นไง....สัปเหร่อมากวักมือหยอยๆๆ เรียกท่านแล้ว
ท่านสามารถไว้ใจในอุปกรณ์ของน้องซินเดอเรลล่า ได้หมดทั้งใจ เพราะคราวนี้อุปกรณ์ที่เลือกนั้น ไม่มีจำหน่ายในไทย ไม่ว่าจะร้านไหนซอกไหนก็ไม่มี  อย่างโวลุ่มคุณภาพสูงสุดที่มี OFF ในตัว หรือ Cap ก็ใช้ของ Elna, Panasonic เกรดสูงแบบ Low E.S.R. แม้กระทั่ง Rแบบ SMD ของ Vishey/Dale  หรือแม้กระทั่งแจ๊คที่ใช้เสียบก็คัดเลือกเอาจากรุ่นที่แข็งแกร่งทนทาน แม้ท่านจะแอ่นกึ๋นเสียบเข้าเสียบออก เป็นพันๆๆ ครั้ง โอกาสที่จะคลอนแคลนน้อยเต็มทนครับ  แม้กระทั่งรังถ่านที่ใช้นั้น ก็ต้องสั่งจากต่างประเทศ เพราะในไทยนั้นไม่มีลังถ่านที่ใช้วางถ่าน AAA ขนาด 3 ก้อนได้อย่างแน่นอน  อันนี้แหละที่เป็นความขมขื่นของนัก DIY บ้านเรา เนื่องจากอุปกรณ์ที่สนับสนุนการทำเฮดโฟนแอมป์ขนาดเล็กนั้น ถือว่าหายากจนแทบรากเลือดตายครับ
อุปกรณ์ทุกชนิดคัดเกรดและวัดค่าทุกตัว และใช้อุปกรณ์คุณภาพสูงทั้งสิ้น ยกเว้นคนที่ประกอบแอมป์เท่านั้นที่คุณภาพต่ำ....อะเจี๊ยก.............คนทำแอมป์ก็คุณภาพสูงครับ เพราะคุณหมูหวานนั้น นอนตากยุงอยู่ชั้นดาดฟ้า ซึ่งถือว่าเป็นชั้นสูงสุดของบ้านก็แล้วกัน
แล้วก็มาถึงรายการทดสอบแบบบ้านๆ แบบเราๆ ทั้งหลาย  แหล่ง source ที่ใช้ก็เป็น CD Player และอุปกรณ์ Portable อย่าง IPod ทั่วไปครับ  ในการฟังกับ source ที่ค่อนข้างดีอย่าง CDPlayer โดยฟังกับซีดีต้นฉบับแท้ๆ นั้น ให้ความภาคภูมิใจจริงๆ  เพราะน้อง ซินเดอเรลล่าไม่ได้ไปลดทอนหรือทำลายคุณภาพเสียงในชุดของท่านอย่างแน่นอนครับ  โทนหน้าตาของแอมป์นั้นไปได้กับแอมป์ชั้นดีทั่วไป โทนเสียงนั้น ผมว่าเที่ยวนี้ คุณหมูหวาน จูนเสียงได้ดีกว่าที่ผ่านมามากนัก เพราะผมถือว่าทำแบบรู้ใจกันจริงๆ คนไทยกินเผ็ด กินหวาน กินเค็มขนาดไหน  หมูหวานรู้ใจหมด เอาอก เอาใจ วางตำแหน่งและคาแรคเตอร์แบบที่คนไทยชอบไม่มีผิดเพี้ยนเลยครับ  หากนำไปเทียบกับแอมป์จีนหรือแอมป์ฝรั่ง  แอมป์จีนราคาถูกนั้นมักจะให้เสียงที่ผอมบาง กร้าน และปลายแหลมคมจัดจ้าน เพราะคนจีนนั้นกินข้าวต้ม และกินกับเกี้ยมฉ่าย เค้าเลยจูนเสียงเหมาะกับชาวจีนด้วยกัน ต่างกับคนไทย ที่กินน้ำพริกผักต้มกับหัวปลาทู  ดังนั้นแอมป์ซินเดอเรลล่าจึงทำโดยคนไทย ที่รู้ใจคนไทยว่างั้นเหอะ............555
ผมลองทดสอบเริ่มแรกด้วยหูฟังที่ผมฟังจนเกือบจะเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งในบ้านแล้ว ซึ่งก็คือ Grado HF-1 และ RS-1 และตบท้ายด้วยหูฟัง Alessandro MS-1 อีก 1 ตัว  เพลงที่ใช้ทดสอบนั้นผมจะใช้ไฟล์เดิมๆ และเพลงที่ใช้ทดสอบจะใช้ไม่เกิน 20 เพลงครับ แต่เป็นเพลงที่ผมแทบจะจำขึ้นใจได้หมดว่า ตรงไหนมันเป็นอย่างไร......ฟังกับ Grado นั้น อัตราการเร่ง แค่หมุนที่ 10 นาฬิกา ผมว่ามันให้ความดังที่ชัดเจนมาก และหากท่านมีหูที่เป็นน้ำหนวก ท่านอาจจะเร่งไปจนถึง 12 นาฬิกาก็ยังได้ แต่ผมถือว่าถ้าเร่งขนาดนี้ มีหวังแก้วหูท่านอาจจะระเบิดและทะลักออกมาได้  สุ้มเสียงที่ฟังกับ Grado นั้น น้องซินฯ ไปช่วยเติมเบสที่ค่อนข้างน้อยให้มากขึ้นครับ เสน่ห์ที่เป็นยิ่งกว่าเสน่ห์ก็คือเสียงในย่านกลางต่ำ น้องซินเดอเรลล่าทำคะแนนในเรื่อง upper bass และ mid-low ได้ดีโคตรๆๆ คือโน๊ตเบสชัดจะแจ้งไม่คลุมเคลือ เรียกว่าเติมเบสช่วงบนให้กับท่านที่ชอบฟังเพลงในแนวสนุกๆ ให้ท่านสนุกขึ้นไปอีก 
ซาวด์เสตจนั้นไกลขึ้นไปกว่าเดิมแต่ยังถือว่าไม่ไกลนัก หากเทียบความไกลก็จะอยู่แถวๆ มาบุญครองแล้วนั่งแท๊กซี่มาลงที่ประตูน้ำแล้วต่อเรือไปลงแถวพระโขนง ซึ่งถือว่าไกลพอควรแล้วล่ะครับ  ผมถือว่าทำได้ดีกว่าการเสียบหูฟังผ่านตรงกับ Player อย่างแน่นอน เพราะหลังจากที่เสียบผ่านแอมป์ปุ๊บ เวทีดูเหมือนจะถูกยกความสูงขึ้นทันที และแผ่ออกในทางกว้าง  ส่วนมิติในทางลึก ยังทำได้ใกล้เคียงกับต้นฉบับ  ส่วนเสียงแหลมที่เป็นเสียง ซ ส หรือ ที่ออกตัว SS หรือ ZZZ หรือที่เรียกกันว่า Sizzle นั้น  ในคราวนี้เมื่อจับแมทช์กับ MS-1 ปรากฏว่าเสียงที่ฟุ่มเฟือยและก่อให้เกิดความรำคาญได้หมดไปทันที  ยังสามารถจับถึงการทอดยาวและไปสุดของเสียงแหลมได้เป็นอย่างดี  ใครที่เคยเกือบกระโดดสะพานพระราม 6 เพื่อฆ่าตัวตาย เนื่องจากรำคาญปลายเสียงแหลมในแอมป์ The Pig ผมว่างานนี้หมูหวานวางหมากและแก้เกมส์มาเป็นอย่างดีแล้วจ้า ส่วนเกินตรงนั้น เก็บออกได้อย่างหมดจดและงดงาม
เมื่อทดสอบด้วยการต่อร่วมกับ Player แล้วกดปุ่ม Pause ในเครื่องเล่น Portable แล้วลองเร่งโวลุ่มจากซ้ายไปขวาจนสุด ไม่ปรากฏเสียง Hiss หรือ noise แต่อย่างใดครับ เงียบเหมือนเรานั่งชมหิ่งห้อยแล้วเป่าสากกะเบือใต้ต้นลำพู ไม่มีเสียงกวนเล็ดลอดออกมาให้เราได้ยินกัน